ทำความรู้จัก ชนิดของไวน์/แก้วไวน์/การดูแลรักษาแก้วไวน์

ทำความรู้จักไวน์ พร้อมแนะนำ ทริคการเลือกแก้วไวน์และที่แขวนแก้วไวน์แบบไหนถึงเรียกว่าดี

 เครื่องดื่มตระกูลไวน์ ปัจจุบันเป็นที่นิยมของสายนักดื่มมากยิ่งขึ้น เพราะผลิตจากวัตถุดิบหลักอย่างองุ่น ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกาย หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ก็สามารถให้ประโยชน์กับร่างกาย ได้มากมายเลยทีเดียว แต่หลายคนอาจเคยสงสัยว่าไวน์มีกี่ชนิด แต่ละชนิดมันแตกต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะ จะพำไขข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องไวน์กัน ชนิดของไวน์หลักๆจะมีด้วยกันอยู่4 ชนิด คือ ไวน์แดง ไวน์ขาว ไวน์กุหลาบ และไวน์สปาร์คกลิ้งโดยแต่ละชนิดนั้นแตกต่างกัน

อย่างสิ้นเชิง ทั้งสีกลิ่น รสชาติรวมถึงวิธีการดื่ม 

เริ่มที่ชนิดแรก คือไวน์แดง (Red Wine) 

ไวน์แดง เป็นไวน์ที่นิยมดื่มกันมากที่สุด ยิ่งเข้มข้นมากระดับแอลกอฮอล์ก็จะสูงขึ้นตามความเข้มข้น สำหรับรสชาติของไวน์แดงนั้น หากเป็นไวน์คุณภาพ จะมีรสชาติขม หรือบางยี่ห้อ อาจมีรสหวานแซมบ้ำง เล็กน้อย นิยมดื่มคู่กับอาหารประเภทเนื้อเช่น สเต็กเนื้อวัว เนื้้อแกะเพื่อแก้เลี่ยนจากมันของเนื้้อสัตว์และ อาหารบางชนิดก็สามารถใส่ไวน์แดงเพื่อความกลมกล่องมากยิ่งขึ้น เช่น สตูเนื้อวัว เป็นต้น 

ชนิดต่อมาคือคือไวน์ขาว (White wine)

ไวน์ขาว ส่วนมากทำโดยการหมักองุ่นพันธุ์ผิวสีเขียว แต่ไวน์ขาวบางยี่ห้องก็ผลิตจากองุ่นดำ เพียงแต่จะลอก เปลือกออกจากองุ่นก่อนนำไปหมัก สีของไวน์ขาวจะออกไปทางสีเหลืองทองอ่อนๆ ปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำ รสชาติจะแหลมไปทางเปรี้ยวเนื่องจากนิยมใช้ดื่มควบคู่ไปกับทางอาหารทะเล (Seafood) เพื่อตัดเลี่ยน 

ชนิดที่สาม คือ ไวน์กุหลาบ (Rose Wine) 

 

ไวน์กุหลาบ หลักการทำจะคล้ายกับการหมักไวน์แดง เพียงแต่ไวน์กุหลาบจะหมักในระยะเวลาที่สั้นกว่า ไม่เกิน 4วัน หลังจากนั้น จะลอกเปลือกองุ่นออก องุ่นก็จะออกมาเป็นชมพู สำหรับรสชาติ ไวน์กุหลาบจะมี รสชาติเบา ออกหวานนิดๆ เนื่องจากหมักในระยะเวลาที่สั้น แอลกอฮอล์ต่ำ ดังนั้น จึงเหมำะกับคนที่เพิ่งเริ่ม ดื่มไวน์เพราะดื่มง่ายไวน์กุหลาบสามารถใช้ดื่มคู่กับอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น พิซซ่า พาสต้า หรือ อาหารรสเค็ม เช่น ชีส หรืออาหารที่ทำจากสัตว์ทะเล เป็นต้น 

ชนิดสุดท้ายคือสปาร์คกลิ่งไวน์ (Sparkling Wine)

สปาร์คกลิ่งไวน์เป็นไวน์ที่คล้ายกับน้ำอัดลม เพราะมีการอัดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เข้าไปด้วยระหว่าง กระบวนการหมักดังนั้น จะมีความซ่า และดื่มง่าย ในการดื่มสปาร์คกลิ่งไวน์จะใช้แก้วไวน์ทรงสูงและผอม ในการดื่ม เพราะแก้วทรงนี้จะช่วยกักเก็บแก๊สไว้ไ้ด้ดีทำให้ไวน์นั้น ซ่าได้นานขึ้นหลังจากรินใส่แก้วแล้ว ปัจจุบันจะนิยมดื่มไวน์ชนิดนี้ในงานเลี้ยงฉลองต่างๆ ในเทศกาลสำคัญๆ เช่น งานแต่งงาน เป็นต้น 

หลักจากที่เราทราบชนิดของไวน์และพร้อมที่จะดื่มแล้ว แต่การดื่มไวน์ให้อร่อย นอกจากรสชาติและชนิด ของไวน์แล้ว แก้วไวน์และการเก็บรักษาก็เป็นอีกปัจจัยหลักที่ทำให้รสชาติรวมทั้งอรรถรสในการดื่มไวน์ นั้นแตกต่างกันออกไป

 1. แก้วไวน์ที่สมบูรณ์แบบควรมีสีใส ไม่มีลวดลาย ไม่มีการตกแต่งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะก่อนที่เราจะดื่ม ไวน์เราต้องสังเกตสีของไวน์ การสังเกตทำได้โดยการยกแก้วไวน์ขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้สะท้อนกับแสงไฟ เพื่อดูความลึกและความเข้มของสีไวน์หลังจากนั้นจึงทำ การแกว่งแก้วหมุนประมาณ 2-3 รอบ เพื่อดูว่าไวน์ไหลคืนสู่ก้นแก้วเร็วหรือไม่ ถ้าเป็นไวน์คุณภาพดีจะต้องมีเกาะที่ของแก้วและไหล ลงอย่างช้าๆ ดังนั้น หากแก้วไวน์ที่ไม่ใช่สีใส หรือมีลวดลาย เราจะไม่สามารถสังเกตคุณภาพของ ไวน์ได้อย่างชัดเจน 

2. รูปร่างและขนาดของแก้วไวน์มีผลเป็นอย่างยิ่ง ในการดื่มไวน์ เพราะนอกจากจะต้องใช้ตานการมองแล้ว ยังต้องใช้จมูกในการดมกลิ่นไวน์ด้วย ซึ่งจำเป็นต้องใช้แก้วไวน์ที่มีไซส์ที่พอดีไม่เล็กหรือใหญ่ไป ไม่เช่นนั้นอำจส่งผลต่อการดมกลิ่นไวน์ก่อนการดื่มทำให้เสน่ห์ของไวน์หายไปได้สำหรับมือใหม่ แนะนำว่าควรเริ่มจากการใช้แก้วไวน์ไซส์กลางๆ ประมาณ 98x224 mm.

 3. ความยาวของก้านแก้วไวน์ ไม่ควรสั้นไปและยาวไป เนื่องจากหลักการดื่มไวน์ก่อนเดิมจะต้อง แกว่งให้ไวน์กระทบกับ เนื้ออสัมผัส ด้านข้างของแก้วเพื่อดูความหนืด หากก้านแก้วไวน์สั้นหรือยาวไป อาจทำให้แกว่งไม่ถนัด รวมทั้งทำให้ผู้ดื่มขาดเสน่ห์อีกด้วย

 4. ความหนา-บางของตัวแก้ว หลายคนอาจมองว่า ยิ่งแก้วที่มีเนื้อหนายิ่งดีซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะ นอกจากจะทำให้แก้วหนัก ดูเทอะทะแล้ว ยังส่งผลต่อการรับรสชาติของไวน์ได้อีกด้วย แต่ก็ไม่ควร จะบางมากเกินไป เพราะอาจทำให้แตกได้ง่ายแต่อย่างไรก็ตาม ความหนาและบางของแก้วขึ้นอยู่ กับความชอบส่วนบุคคลของผู้ดื่มด้วย

 เมื่อเราได้แก้วไวน์ที่ถูกใจแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเก็บรักษาให้แก้วไวน์ของเราคงสภาพดี ส่งผลให้ช่วย เพิ่มอรรถรสในการดื่มไวน์ 

1. กรณีที่แก้วไวน์ไม่เลอะจนเกินไป แนะนำ ว่าล้างด้วยน้ำ สะอาดก็เพียงพอแล้ว จะได้ไ้ม่ทำให้กลิ่นของน้ำยาล้างจานมีผลต่อกลิ่นของไวน์ในการดื่มไวน์คร้ังต่อๆไป 

2. หลังจากล้างเสร็จ ต้องทำให้แก้วไวน์แห้งสนิท แต่ห้ามสะบัดแก้วไวน์เด็ดขาด เพราะนั่นอาจทำให้แก้วไวน์แตกหักเสียหายได้ ซึ่งวิธีง่ายๆ มีอยู่ 2 วิธีคือ 

2.1. หาผ้าเกรดคุณภาพมาเช็ดให้แห้ง เหตุผลที่ต้องเน้นว่าให้หาผ้าคุณภาพดีมาเช็ดแก้วไวน์ คือ หาก ใช้ผ้าเกรดทั่วไปมาเช็ด อาจบาดทำให้แก้วเป็นรอย หรืออาจทิ้งฝุ่น หรือขนผ้าติดค้างไว้ อาจส่งผลต่อกลิ่นและรสชาติของไวน์ได้ 

2.2. หาที่แขวนแก้วไวน์คุณภาพดี หากไม่อยากเสียเวลาสำหรับสายนักดื่ม แนะนำว่าควรหาที่แขวนแก้วไวน์ดีๆสักอัน เพราะนอกจากจะเป็นการประหยัดเวลาไปในตัว ไม่ต้องคอยมานั่งเช็ดทีละแก้วๆให้เมื่อยแล้ว ยังไม่เสี่ยงทำแก้วตกแตกขณะเช็ดอีกด้วย การใช้ที่แขวนแก้วไวน์มาแขวนแก้วไวน์นั้น ทำให้น้ำที่ค้างอยู่ในแก้วจากการล้างไหลออกมาหมดจนแห้งแบบไม่ต้องเปลืองแรง ซึ่งวันนี้จะขอแนะนำ ที่แขวนแก้วไวน์คุณภาพดี ดีไซน์สวย และราคาจับต้องได้ให้กับเพื่อนๆสายนักดื่มได้ ลองซื้อไปใช้กันดู ที่แขวนแก้วไวน์รุ่น F07C0054 ผลิตจากสแตนเลส 304 เคลือบสีทอง คุณภาพสูง ไม่เป็นสนิม มีให้เลือก 10 ขนาดด้วยกัน ตามด้านล่าง

1. ที่แขวนแก้วไวน์ขนาด 18 * 34.5 เซนติเมตร แสตนเลส304 แขวนได้ 6 แก้ว 

2. ที่แขวนแก้วไวน์ขนาด 18 * 46 เซนติเมตร แสตนเลส304 แขวนได้ 8 แก้ว

 3. ที่แขวนแก้วไวน์ขนาด 18 * 57 เซนติเมตร แสตนเลส304 แขวนได้ 10 แก้ว 

4. ที่แขวนแก้วไวน์ขนาด 18 * 68.5 เซนติเมตร แสตนเลส304 แขวนได้ 12 แก้ว 

5. ที่แขวนแก้วไวน์ขนาด 18 * 80 เซนติเมตร แสตนเลส304 แขวนได้ 14 แก้ว

 6. ที่แขวนแก้วไวน์ขนาด 22.5 * 34.5 เซนติเมตร แสตนเลส304 แขวนได้ 6 – 9 แก้ว 

7. ที่แขวนแก้วไวน์ขนาด 22.5 * 46 เซนติเมตร แสตนเลส304 แขวนได้ 8 – 12 แก้ว 

8. ที่แขวนแก้วไวน์ขนาด 22.5 * 57 เซนติเมตร แสตนเลส304 แขวนได้ 10 – 15 แก้ว 

9. ที่แขวนแก้วไวน์ขนาด 22.5 * 68.5 เซนติเมตร แสตนเลส304 แขวนได้ 12 – 18 แก้ว 

10. ที่แขวนแก้วไวน์ขนาด 22.5 * 80 เซนติเมตร แสตนเลส304 แขวนได้ 14 – 21 แก้ว 

สำหรับการติดตั้งที่แขวนแก้วไวน์ ทำได้ง่ายๆ โดยการใช้ยึดน็อตกับผนังเป็นการช่วยประหยัดพื้นที่ใช้สอย ภายในบ้าน นอกเหนือจากจะสามารถใช้แขวนแก้วไวน์ได้แล้ว ยังสามารถใช้ตกแต่งบ้านได้อีกด้วย ยิ่งหาก ติดไฟ LED ไว้บนเพดานเหนือที่แขวนแก้วไวน์แล้วนั้น เวลาไฟส่องมากระทบกับแก้วไวน์ จะทำให้เกิด ความเงาระยิบระยับ จะช่วยทำให้บ้านดูหรูหราขึ้นมาทันที